วันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2557

การขยายพันธุ์ลีลาวดี


การขยายพันธุ์ลีลาวดี 

1.การปักชำลีลาวดี เป็นวิธีที่ง่าย รวดเร็วในการขยายพันธุ์ต้นลีลาวดีและยังเป็นวิธีรักษาพันธุ์เดิมเอาไว้ การปักชำกิ่ง เป็นวิธีที่ใช้ในการขยายพันธุ์ลีลาวดีได้รับความนิยมมากที่สุด สามารถขยายพันธุ์ ได้จำนวนมากกว่าวิธีอื่น และเป็นวิธีที่ง่ายที่สุด แต่ข้อเสียคือจะได้ลักษณะสายพันธุ์เดียวกับต้นแม่พันธุ์์
ควรทำในฤดูใบไม้ผลิคือช่วงก่อนฤดูฝนปลายเดือนมีนาคมไปถึงต้นเดือนมิถุนายน จะได้ผลดีกว่าปักชำในช่วงเดือนอื่นๆ การชำกิ่งอาจจะทำ ได้ตลอดปี แต่ควรมีการเลือกต้นพันธุ์และวิธีปฏิบัติดังนี้

1.1 . เลือกกิ่งที่มีความสมบูรณ์ ลักษณะเนื้อไม้แข็งแรงตัดตรงตำ แหน่งที่ตํ่ากว่าส่วนที่
เป็นยอดอ่อน ถ้าจะให้ดีควรยาวประมาณ 2 ฟุต
1.2. ควรตัดกิ่งให้อยู่ในมุมที่สูงกว่ารอยแผลของก้านใบเก่าที่ร่วงไป (Growth Tips) เพื่อ ที่จะให้กิ่งเดิมที่ถูกตัดสามารถแตกกิ่งอ่อนได้จาก Growth Tips ที่เปลี่ยนตา และในเวลาเดียวกันก็สามารถป้องกันกิ่งเดิมไม่ให้เน่าเสียเมื่อเวลาผ่านไป การใช้ปูขาวป้ายที่แผลรอยตัดในต้นเดิมจะช่วยสมานแผลได้ดีไม่เปิดโรคแทรกซ้อน
1.3. กิ่งที่ตัดควรนำมาเก็บไว้ที่ร่มประมาณ 4 วัน ให้แผลแห้งก่อนนำ มาเพาะชำ มีการพูดกันว่าถ้านำกิ่งที่ตัดใหม่ไปชำ จะทำให้เกิดการติดเชื้อราโรคแทรกซ้อนได้ง่าย
1.4. ก่อนนำไปชำในโรงเพาะชำควรจะนำโคนกิ่งที่ตัดเตรียมไว้จุ่มในนํ้ายาเร่งราก หรือจะ
ให้ดีควรผสมนํ้ายาด้วยสารป้องกันเชื้อรา หลังจากนั้นจึงนำ กิ่งไปชำ ในกระถางหรือภาชนะที่
มีดินที่มีฮิวมัสสูงให้โคนกิ่งลึก 2-3 นิ้ว และรอยที่นํ้ายาควรจะสูงกว่าระดับเหนือดิน 1 นิ้ว
1.5. ผู้ที่มีประสบการณใ์นการปลูกลีลาวดีได้ให้ข้อสรุปไว้ว่า ก่อนนำกิ่งลงชำควรเด็ดใบ
ส่วนปลายออกให้เหลือครึ่งหนึ่งเพื่อลดการระเหยของนํ้า ซึ่งปลายกิ่งสามารถสังเคราะห์แสง
เพื่อเรียกรากที่งอก

2. การเพาะเมล็ดลีลาวดี จะใช้ฝักที่แก่จัด ส่วนใหญ่ใช้ในการปรับปรุงพันธุ์ ซึ่งเมล็ดลีลาวดีงอกได้ง่าย แต่ละฝักของลีลาวดีจะได้ต้นกล้าประมาณ 50 -100 ต้น สามารถเพาะในกระถางเพาะได้เลย ข้อดี ของการเพาะเมล็ดลีลาวดี คือ จะได้ต้นที่กลายพันธุ์ หรือ ต้นลีลาวดีแคระ ด่าง

3. การเปลี่ยนยอด จะใช้ในกรณีที่ได้พันธุ์ดีแล้วนำมาเปลี่ยนยอดบนต้นตอที่เพาะกล้าไว้แล้วอาจ จะเสียบข้างหรือผ่าเป็นลิ่ม วิธีนี้ต้องป้องกันไม่ให้น้ำเข้า ไม่เช่นนั้นแผลจะเน่า

4. การติดตา ใช้ในกรณีที่ได้ตามีไม่มากนัก เป็นการขยายพันธุ์แบบประหยัด กิ่งหนึ่งสามารถขยายพันธุ์ได้เป็นจำนวนมาก

การดูแลรักษาลีลาวดี


การดูแลรักษาลีลาวดี

ลีลาวดี สามารถเจริญเติบโตได้ดีในสภาพแวดล้อมที่กันดาร ดินไม่อุดมสมบูรณ์มากนัก แต่ถ้าต้องการให้ลีลาวดีออกดอกได้ดี ควรนำไปปลูกในกระถางและใช้ดินที่เป็นกรดเหมือนกับพืชเขตร้อนทั่วไป ลีลาวดีชอบความชื้นในอากาศสูงและไม่ชอบอยู่ในดินที่มีน้ำท่วมขังหรือมีการรด น้ำบ่อยครั้ง การปลูกควรเน้นการระบายน้ำหรือการยกร่องในแปลงปลูกเป็นหลัก ลีลาวดีเป็นพืชที่ต้องการแสงแดดในเวลากลางวันอย่างน้อยครึ่งวัน แต่หลายชนิดต้องการแสงแดดเต็มวัน ยกเว้นบางชนิดที่มีดอกสีแดงซึ่งจะชอบการพรางแสงมากกว่า

1.การให้น้ำลีลาวดี

การให้น้ำลีลาวดีในกระถาง ควรให้จนดินเปียกทั่วถึง จนน้ำส่วนเกินระบายออกทางรูระบายน้ำ แล้วปล่อยให้วัสดุปลูกแห้งก่อนการให้น้ำครั้งต่อไป หรือช่วงแล้งจัด อาจเว้นวัน และควรตรวจดูความชื้นของวัสดุปลูกอยู่เสมอ
การให้น้ำลีลาวดีที่ปลูกลงดิน ควรให้ น้ำแต่น้อยให้ประมาณสัปดาห์ละครั้ง ขึ้นอยู่กับสภาพความชื้นในอากาศ ถ้าอากาศร้อนควรให้น้ำมากกว่าปกติ เพื่อรักษาความเขียวของใบ แต่การให้น้ำมากเกินไปมีผลต่อการเจริญเติบโตทางกิ่งก้านมากและทำให้ไม่ออก ดอก

2.การให้ปุ๋ยลีลาวดี

เนื่องจากต้นลีลาวดีที่สวยและมีราคาสูงนั้นจะต้องมีฟอร์มต้นที่ดี คือ มีลักษณะของทรงพุ่มกลมมีกิ่งก้านสาขาแตกออก ดูแล้วมีความพอดีกับความสูงของต้น ดังนั้นการให้ปุ๋ยไนโตรเจนมากเกินไปจะทำให้ต้นสูงชะลูดและไม่แทงช่อดอกใน เวลาอันควร ในการที่จะเร่งการเจริญเติบโตทั้งทางใบ ลำต้น และดอก คือการใช้ปุ๋ยไนโตรเจน ฟอสฟอรัสและโปแตสเซียมในอัตราส่วนที่เท่ากัน หรือให้ฟอสฟอรัสสูงและให้ธาตุอาหารรองที่จำเป็นต่อลีลาวดี คือ แมกนีเซียม ทองแดง เหล็ก สังกะสี กำมะถัน และแมงกานีส
การให้ปุ๋ยหมักลีลาวดี ควรให้สลับกับการรดน้ำคาวปลาจะช่วยเพิ่มไนโตรเจนในดินได้เป็นอย่างดี
การเลือกซื้อปุ๋ยจากร้านทั่วไป ภาชนะบรรจุจะระบุอัตราส่วนของสารต่าง ๆ เอาไว้ อาทิเช่น อักษรตัว N หมายถึง ไนโตรเจน ตัว P หมายถึง ฟอสเฟส ตัว K หมายถึง โปตัสเซียม ฯลฯ
เนื่องจากลีลาวดีชอบดินที่เป็นกรดอ่อน ดังนั้นปุ๋ยควรมีส่วนผสมของฟอสเฟสในอัตราที่มากกว่า ส่วนไนโตรเจนและโปตัสเซียมให้ผสมในอัตราปานกลาง

สำหรับการปลูกลีลาวดีในกระถางในช่วงฤดูใบไม้ผลิ ประมาณต้นเดือนเมษายนควรจะโรยกระดูกป่น และปุ๋ยที่มีฟอสเฟสสูงทุก ๆ สัปดาห์ และอีก 1 เดือนถัดมาให้ปุ๋ยแมงกานีสซัลเฟตให้ปฏิบัติตามสูตรนี้จนกระทั่วเกิดตุ่มดอก ในช่วงเดือนมิถุนายน ซึ่งในช่วงนั้นควรเปลี่ยนไปใช้สารโปตัสเซียมไนเตรท และลดการให้จากทุกสัปดาห์เป็นเดือนละครั้ง เพื่อการออกดอกที่ได้ผลดี จนถึงเดือนกันยายนควรงดการให้ปุ๋ยทุกชนิด การนำกิ่งชำลงดิน ควรทำในเดือนเมษายนก่อนเข้าฤดูฝน

ศัตรูที่สำคัญของลีลาวดี: ได้แก่ ราสนิม และ เพลี้ยแป้ง

การปลูกลีลาวดีในกระถาง


การปลูกลีลาวดีในกระถาง

ลีลาวดีตอบสนองต่อวัสดุปลูกที่มีความอุดมสมบูรณ์ ระบายน้ำดี มีอินทรียวัตถุสูง และได้รับปุ๋ยเสริมตามความเหมาะสม สัดส่วนของวัสดุปลูกที่แนะนำโดยทั่วไปคือ 2:1:1 โดยใช้ มูลวัวที่ย่อยสลายแล้ว ,ใบไม้ผุและดิน แต่วัสดุปลูกที่มีขนาดเล็กละเอียด เมื่อถึงระยะหนึ่งจะอัดตัวแน่นทำให้รากพืชขาดออกซิเจน น้ำขังไม่สามารถระบายได้ ทำให้เกิดโรครากเน่าได้

การปลูกลงดินในแปลงปลูก ระยะปลูกในการปลูกลงในแปลงเพื่อเป็นการเก็บสะสมสายพันธุ์ดี หรือปลูกเพื่อขุดล้อมจำหน่าย การปลูกลีลาวดีต้นหนึ่งต้องใช้พื้นที่ประมาณ 5 ตารางเมตร
ดินที่เหมาะสมในการปลูกลีลาวดี ควรเป็นดินร่วนปนทราย ดินควรมีปริมาณอินทรียวัตถุที่เหมาะสม สามารถดูดความชื้นได้ ในขณะเดียวกันต้องมีการระบายน้ำที่ดี ส่วนค่าของพีเอชที่เหมาะสมในการปลูกลีลาวดีควรจะมีระหว่าง 6.4 ถึง 6.8 (มีกรดเล็กน้อยถึง 7 คือระดับกลาง) ถ้ามีกรดมากเกินไปเนื่องจากมีระดับฟอสเฟสสูง ควรจะราดสารผสมของแมกนีเซียมซัลเฟต (เกลือเอปซ่อม) เพื่อให้ดินมีค่าเป็นกลาง การขาดสารแมกนีเซียมอาจทำให้เกิดการไหม้เกรียมของใบ สารแมกนีเซียมซัลเฟสสามารถแก้อาการเหล่านี้ได้ แต่ถ้าจะเร่งลำต้นและระบบรากเพื่อให้ใบสมบูรณ์ควรให้สารไนโตรเจน และในทางกลับกันถ้าลำต้นสูงเกินสัดส่วนที่ควรเป็นให้งดสารไนโตรเจนนี้หรือ ให้ในปริมาณที่น้อยลง


พันธุ์ลีลาวดี



พันธุ์ลีลาวดี

ต้นลีลาวดีได้แพร่หลายในอเมริกา สมัยบุกเบิก ซึ่ง ต่อมามีการผสมข้ามพันธุ์ มีสีสันมากมายและหลากลักษณะ นักพฤกษ์ศาสตร์ชาวอเมริกัน ชื่อ วูดสัน (woodson) ได้บ่งลักษณะของชนิด เป็น 7 ลักษณะ ตามแหล่งดั้งเดิมของที่มา แล้วตั้งชื่อ ดังต่อไปนี้

1. พลูมมีเรีย อินโนโดรา แหล่งเดิมมาจากประเทศ โคลัมเบีย และ บิตริสกีนา
2. พลูมมีเรีย รูบรา ประเทศ ใน อเมริกากลาง

3. พลูมมีเรีย ซับเซสซิลิส ประเทศ ฮิสปานิโอลา
4. พลูมมีเรีย ออบทูซ่า หมู่เกาะบาฮามัส ประเทศ คิวบา จาไมกา ฮิสปานิโอลา
ปอร์โตริโก บริติสฮอนดูรัส
5. พลูมมีเรีย พูดิกา ประเทศ โคลัมเบีย เวเนซูเอลา และ มาตินิค
6. พลูมมีเรีย ฟิลิโฟเลีย ประเทศ คิวบา
7. พลูมมีเรีย อัลบา ประเทค ปอร์โตริโก เวอร์จินไอแลนด์ส และ เลสเซอร์ เอน-
ทิเลส

นอกจากนี้ยังมีการแบ่งชนิดของลีลาวดีตามลักษณะใบ ช่อดอก และสี ได้มีการตั้งชื่อเรียกกัน
อย่างกว้างขวางในแต่ละที่ ส่วนประเทศที่ให้ความสำ คัญของลีลาวดี ถึงมีการตั้งสมาคม
ก็คือ สหรัฐอเมริกา โดยมีการจดทะเบียนชื่อตามลักษณะต่างๆดังที่กล่าวถึงกว่า ๓๐๐ ชื่อ
จากจำ นวนของลีลาวดีที่มีอยู่เดิม (generic) และที่มีการผสมพันธุ์ (hybrid) กว่า ๑,๐๐๐
ชนิดทั่วโลก


ลักษณะโดยทั่วไป



ลักษณะโดยทั่วไป 

             ลีลาวดี เป็นไม้ยืนต้น มีขนาดจากที่เป็นพุ่มเตี้ยแคระสูงประมาณ0.6 เมตร จนถึงต้นใหญ่มากอาจที่สูงได้ถึง 12 เมตร ลำต้นแผ่กิ่งก้านสาขาและพุ่มใบสวยงาม มีน้ำยางขนสีขาวเป็นพันธุ์ไม้ที่สลัดใบในฤดูแล้งก่อนที่จะผลิดอกผลิใบรุ่น ใหม่ชนิดและพันธุ์ที่มีลักษณะดี ต้องมีทรงพุ่มแน่น มีกิ่งก้านสาขามาก ใบดกที่ปลายกิ่ง มีช่อดอกใหญ่ กิ่งที่ยังไม่แก่มีสีเขียวออ่นนุ่ม กิ่งที่แก่มีสีเทามีรอยตะปุ่มตะป่ำ ใบ เป็นใบเดี่ยวมีการเรียงตัวสลับกันและหนาแน่นใกล้ๆปลายกิ่ง มีตั้งแต่สีเขียวอ่อนถึงเขียวเข้ม มีเส้นกลางใบแตกสาขาออกไปคล้ายขนนก ขนาดใบแตกต่างกันตั้งแต่ 5-20 นิ้ว ช่อดอก จะถูกผลิตออกมาจากปลายยอดเหนือใบแต่กก็มีบางชนิดที่ออกช่อดอกระหว่างใบหรือ ออกดอกใต้ใบ ช่อดอกบางชนิดตั้งขึ้น บางชนิดห้อยลง ใน 1 ช่อดอกจะมีดอกบานพร้อมกัน 20-30 ดอก บางต้นสมบูรณ์เต็มที่อาจมีดอกมากกว่า 100 ดอกต่อ 1 ช่อ ผล เป็นฝักคู่ รูปยาวรี กว้างประมาณ 1.5 – 15 ซม. เมื่อแก่แตกเป็น 2ซีก เมล็ดมีจำนวนมาก เมล็ดแบนมีปีก ลีลาวดีมีช่วงชีวิตที่ยาวนานนับ 100 ปี 

ใบ – เป็นใบเดี่ยว มีการเรียงตัวแบบสลับและหนาแน่นใกล้ปลายกิ่ง มีลักษณะแตกต่างกันไปทั้งรูปร่าง ขนาด สี และความหนาแน่น โดยทั่วไป ใบจะหนา เหนียวแข็ง และมีสีตั้งแต่สีเขียวอ่อนถึงสีเขียวเข้ม มีเส้นกลางใบแตกสาขาออกไปคล้ายขนนก ขนาดใบแตกต่างกัน
ช่อดอก – ดอกจะผลิออกมาจากปลายยอดเหนือใบ เห็นเป็นช่อดอกใหญ่สวยงาม แต่ก็มีบางชนิดที่ออกช่อดอกระหว่างใบ หรือใต้ใบ บางชนิดห้อยลงบางชนิดตั้งขึ้น ในหนึ่งช่อจะมีดอกบานพร้อมกัน 10 – 30 ดอก ออกดอกประมาณเดือนกุมภาพันธ์ถึงเดือนเมษายน บางพันธุ์สามารถออกดอกได้ตลอดทั้งปี
ดอก – โดยทั่วไปจะมีขนาดใหญ่ถึงกลาง ยกเว้นบางพันธุ์ที่มีขนาดเล็ก กลีบดอกมี 5 กลีบ เกสรตัวผู้ เกสรตัวเมีย อยู่ลึกเข้าไปข้างใน ดอกของลีลาวดีมีสีสรรหลากหลายทั้ง ขาว แดง เหลือง ชมพู ส้ม ม่วง สีทอง มีกลิ่นหอมต่างๆกันไปในแต่ละชนิด ดอกมีขนาด 2 – 6 นิ้ว มีกลิ่นหอม ดอกมีลักษณะคล้ายท่อ ทำให้มองไม่เห็นเกสรตัวผู้และเกสรตัวเมีย โดยจะมีเกสรตัวผู้ 5 อัน อยู่ที่โคนก้านดอก ส่วนเกสรตัวเมียอยู่ลึกลงไปในก้านดอก เกสรตัวผู้และเกสรตัวเมียบานไม่พร้อมกัน จึงยากต่อการผสมตัวเอง
ฝัก – มีลักษณะคล้ายกับฝักต้นชวนชม ฝักอ่อนสีจะมีสีเขียวเมื่อแก่ฝักจะมีสีแดงถึงดำ

ประวัติความเป็นมาของลีลาวดี



ประวัติความเป็นมาของลีลาวดี

มีตำนานเล่าขานกันมาว่า ตามหลักสากลลีลาวดีได้ถูกเรียกชื่อว่า ฟรังกีปานี (frangipani) และเรียกกันทั่วๆไปว่า พลูมมีเรีย (plumeria) ซึ่งเป็นชื่อที่ถูกเรียกตามชื่อของนักพฤกษ์ศาสตร์ชาวฝรั่งเศสชื่อ ชาร์ล พลัมเมอร์ (ค.ศ.๑๖๔๖-๑๗๐๖) บุคคลผู้นี้ได้ริเริ่มจัดระบบเป็นหมวดหมู่ให้กับต้นใม้และดอกไม้ในเขตร้อน
เรื่องมีอยู่ว่าในศตวรรษที่ ๑๗ นาย ชาร์ล พลัมเมอร์ ถูกมอบหมายจากกษัตริย์ฝรั่งเศส ให้ไป
แสวงหาพันธุ์ต้นไม้แปลกๆ ในเขตร้อนมาถวาย ชาร์ลจึงเดินทางไปยังหมู่เกาะ แคริเบียน ถึง ๓ ครั้ง จึงได้พบต้นไม้ที่มีดอกสวยงามและรูปทรงแปลกๆ และได้นำ กลับไปประเทศ ฝรั่งเศส

หลายปีผ่านไปนักพฤกษ์ศาสตร์ชาวฝรั่งเศสอีกท่านหนึ่งชื่อนาย ทัวนีฟอร์ท ได้ตั้งชื่อต้นไม้ชนิดที่ชาร์ลค้นพบนี้ว่าพลัมเมอร์เรีย (plumieria) เพื่อเป็นเกียรติแก่นาย ชาร์ล พลัมเมอร์ แต่ภายหลังชื่อถูกเรียกเพี้ยนไปเป็น พลูมมีเรีย (plumeria) อย่างไรก็ตามศัพท์ทางวิชาการของการเรียกชื่อต้นไม้ชนิดนี้ได้ระบุว่า ฟรังกีปานี (frangipani)

ชื่อ ฟรังกีปานี ถูกสมมุติฐานว่ามาจากคำ ในภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า ฟรังกีปาเนีย (frangipanier) ซึ่งมาจากรากศัพท์ว่ากลิ่นหอม (fragrance) อีกสมมุติฐานของชื่อนี้คำ ว่า “ฟรังกีปานี” มีความหมายถึงยางสีขาวเหนียวเหนอะซึ่งออกมาจากต้นไม้ที่ถูกตัด ชาวฝรั่งเศสที่ได้ไปตั้งรกรากในหมู่เกาะแคริเบียนได้สังเกตุเห็นลักษณะเช่น นั้นจึงเรียกว่า ฟรังกีปานีเออร์ (frangipanier) ซึ่งในภาษาฝรั่งเศส แปลว่า นมข้น สรุปแล้วชื่อสากลของพันธุ์ไม้นี้มีความเป็นไปได้สูงว่ามาจากรากศัพท์ของภาษา ฝรั่งเศส


ต้นลั่นทมหรือต้นลีลาวดี

          ในประเทศไทยที่พบเห็นทั่วๆไปจะมีดอกสีขาว แดง ชมพู และ สามสี เดิมทีชื่อเรียกของพันธุ์ไม้นี้
คือ “ลั่นทม” ซึ่งคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าคำนี้มาจากคำ ว่า “ระทม” ที่หมายถึง ความเศร้าโศก ไม่เป็นมงคล จึงไม่นิยมปลูกเลี้ยงไว้ในบริเวณบ้านพักหรือที่ อยู่อาศัย แต่แท้ที่จริงแล้วมีผู้มีความรู้ด้านภาษาไทยกล่าวถึง คำ ว่า “ลั่นทม” ที่เรียกกันแต่โบราณหมายถึง การละแล้วซึ่งความโศกเศร้าแล้ว มีความสุข
ดังนั้นคำ ว่า “ลั่นทม” แท้ที่จริงนั้นจึงเป็นคำที่ผสมจาก ลั่น+ทม โดย คำ แรกหมายถึง แตกหัก ละทิ้งและคำ หลังหมายถึงความทุกข์โศก แต่ความเชื่อ ว่า “ลั่นทม” เป็นคำที่ไม่เป็นมงคลยังคงผฝังตรึงอยู่ในใจของคนไทยมาช้า นาน กระทั่งได้มีการเปลี่ยนชื่อ ต้นไม้ชนิดนี้มใหม่ จาก “ลั่นทม ” เป็น “ลีลาวดี” ซึ่งมีความไพเราะเหมาะเจาะกับรูปทรงและดอกอันสวยสด จนกลายมาเป็นไม้ยอดนิยมในปัจจุบัน เนื่องจาก รูปทรงที่สวยงามแปลกตาแล้วดอกสีลาวดี ยังมีสีสวยและมีกลิ่นหอม และยังถือว่าเป็นไม้มงคลอีกด้วย
ชื่อสามัญ : ลั่นทม หรือ ลีลาวดี(Lanthom)Temple tree , Pagoda tree , Frangipani
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Plumeria acuminata Art. Sym.:P. actifolia Poir. , P. rubraLinn.var.Actifolia Bailey.
ชื่ออื่นๆ : กะเหรี่ยง กาญจนบุรี – จงป่า (Chong-pa)
ภาคเหนือ – จำปาลาว (Champa-lao)
อีสาน – จำปาขาว (Champa-Khao)
เขมร – จำไป (Cham-pai)
ภาคใต้ – จำปาขอม (Champa-khom)
ยะลา – ไม้จีน (Mai-Chin)
มลายู-นราธิวาส – มอยอ (Mo-yo)
ถิ่นกำ เนิด – เม็กซิโก ฟิลิปปินส์ อินเดีย
วงศ์ : APOCYNACEAE